Introduction : Layer N (ภาษาไทย)

KonbaCrypto
3 min readApr 25, 2024

--

Layer N คือ Ethereum StateNet ซึ่งเป็น L2 ใหม่ที่ออกแบบมาให้เป็นเครือข่ายของ custom VMs หรือเรียกกว่า XVMs ซึ่ง Network นี้ใช้ VMs เดียวกันจึงเรียกว่า XVMs มีการสื่อสารหรือ communication ภายในระบบทำให้ทำงานไวมาก

Generalized VMs: XVM ทั่วไป สามารถใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์

StateNet ทำงานอย่างไร

ภาพรวมแล้ว StateNet คือการประสานงานของ Virtual Machine: VM หลายตัวที่ใช้ protocol สื่อสารร่วมกัน StateNet ใช้ประโยชน์จาก solutions จากข้อมูล off-chain ที่มี bandwith สูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะเดียวกันก็ยังคงบันทึกสถานะ settle state บน Ethereum

Layer N ช่วยแก้ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ (Solving performance)

  • Layer N สนับสนุนการพัฒนา VM เฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อแอปพลิเคชันนั้นๆ (XVM) การที่เป็นแอปพลิเคชันเฉพาะทางนี้ ทำให้แอปมีสภาพแวดล้อมการคำนวณและแบนด์วิธเป็นความเฉพาะของแอปนั้นๆ นักพัฒนาจึงรันโปรแกรมที่ซับซ้อนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าแก๊ส ส่งผลให้ประสิทธิภาพดีขึ้น (เหมือนกับการรันโปรแกรมบนเซิร์ฟเวอร์เดี่ยวมากกว่าเซิร์ฟเวอร์แบบแชร์) ตัวอย่างเช่น Nord Engine ซึ่งออกแบบมาเพื่อการเทรดโดยเฉพาะ
  • Layer N XVM ถูกพัฒนาด้วยภาษา Rust เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน การใช้ภาษา Rust เป็นไปได้เพราะอาศัย RiscZero สำหรับ ZKPs ที่รองรับชุดคำสั่ง RISC-V
  • Layer N สร้าง ZK proof เฉพาะเวลาที่จำเป็น (เช่น เมื่อมีการโกงโดย validator) ต่างจาก zkrollups ทั่วไปที่ต้องสร้าง proof ตลอดเวลา ซึ่งสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก การใช้ ZK proof แบบอิงตามเหตุการณ์ (event-driven) ช่วยให้ได้ข้อดี 2 อย่างคือ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเว็บ 2 และระยะเวลาตรวจสอบการโกงที่สั้นกว่า optimistic rollup แบบเดิม

Layer N ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปริมาณงาน

ปัญหา: บล็อกเชนปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (blockspace) ทำให้ราคาธุรกรรมสูง สิ่งนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้งานจริง ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันขนาดใหญ่แบบ Coinbase ไม่สามารถรันบน Ethereum ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การแก้ไขด้วย Layer N:

  • ใช้ EigenDA: เป็น Solutionใหม่ที่ให้พื้นที่เก็บข้อมูลขนาดหลาย megabytes ต่อวินาที EigenDA ยังได้รับการรักษาความปลอดภัยโดย Validator ของ Ethereum ผ่านการ Restaking
  • ปรับขนาดตามจำนวน validators : EigenDA สามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ตามจำนวน validators ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต่างจากบล็อกเชนแบบเดิมที่มีความจุคงที่
  • เทคนิคการรวมลายเซ็น (signature aggregation): เทคนิคนี้ช่วยลดขนาดข้อมูลลง 8–10 เท่า ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่ำลงอีก

ผลลัพธ์: Layer N ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ช่วยให้ scale การทำงานได้ (scalability) และลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมลงอย่างมาก ทำให้บล็อกเชนสามารถรองรับการใช้งานจริงได้ดียิ่งขึ้น

การเชื่อมต่อ (Solving Connectivity)

หัวใจสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างทำงานได้อย่างราบรื่นคือ เลเยอร์การสื่อสารและสภาพคล่องแบบแบ่งปัน (shared communication and liquidity layer) ที่เชื่อมต่อแอปพลิเคชันทั้งหมดเข้าด้วยกัน นั่นคือ Protocol สื่อสารระหว่างเครื่องเสมือน (Inter-VM Communication protocol: IVC)

IVC ช่วยให้:

  • ทุก XVM และแอปพลิเคชัน ส่งข้อความถึงกันเองได้อย่างราบรื่น
  • เชื่อมโยงสภาพคล่อง (liquidity) ระหว่างกันได้ทันที
  • ผู้ใช้ปลายทางไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองกำลังใช้ XVM แบบเลเยอร์ N ใด
  • ผู้ใช้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของการเชื่อมต่อ (bridging)

การอัปเดตสถานะ:

  • XVM ของ Layer N ทั้งหมด ส่งการอัปเดตสถานะของตัวเองไปยังสัญญาเดียวกัน
  • ส่งผลให้ XVM แบบเลเยอร์ N ทั้งหมด ทำงานเหมือนเป็นส่วนประกอบของเครื่องจักรสถานะขนาดใหญ่ (state machine) เดียวกัน
  • ไม่จำกัดด้วยขีดจำกัดด้านการคำนวณหรือพื้นที่จัดเก็บ

XVM ภาพรวม

XVM คือ Virtual Machine: VM ที่กำหนดสภาพแวดล้อมการทำงาน (execution environment) และกฎการเข้าถึงสถานะ (state access rules) สำหรับโปรแกรมที่สร้างขึ้นบนนั้น

  • แต่ละ XVM รันอยู่บน rollup เดียวภายใน StateNet Layer N
  • แต่ละ XVM สามารถเข้าถึงเครือข่าย VM ที่กว้างขึ้นผ่าน shared communication and liquidity layer

ประเภทของ XVM:

  • Generalized VMs: XVM ทั่วไป สามารถใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์
  • Application-specific VMs: XVM เฉพาะแอปพลิเคชัน ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานของแอปพลิเคชันเฉพาะเจาะจง

วงจรชีวิตของธุรกรรม (Transaction Lifecycle)

Layer N เป็นเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกรรมจำนวนมาก โดยยอมให้ผู้ใช้ส่งธุรกรรมเข้ามาโดยตรง เครือข่ายจะทำการจัดเรียงลำดับ ดำเนินการธุรกรรมเหล่านี้ จากนั้น จึงรวบรวม บีบอัดข้อมูล และส่งผลลัพธ์กลับไปยังเครือข่าย Ethereum

1. รับและจัดเรียงธุรกรรม (Transaction received and ordered)

  • ธุรกรรมที่เข้าสู่ network Layer N จะถูกจัดเรียงตามลำดับเวลาที่ได้รับก่อน (first-in-first-out)

2. ประมวลผลธุรกรรมและยืนยันเบื้องต้น (Transaction processed and soft-confirmed)

  • ธุรกรรมที่ถูกจัดเรียงแล้วจะถูกนำไปประมวลผลภายใน XVM
  • หลังจากประมวลผลเสร็จสิ้น ใบเสร็จรับธุรกรรม (transaction receipt) จะถูกส่งกลับไปยังผู้ใช้
  • ใบเสร็จนี้เป็นการยืนยันเบื้องต้น (soft-confirmation) โดยเป็นลายเซ็นที่สามารถใช้ยื่นหลักฐานการฉ้อโกง (fraud proof) ในกรณีที่ธุรกรรมนั้นไม่ถูกบันทึกอย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ ใบเสร็จนี้ถือเป็นการยืนยันที่ปลอดภัย

3. บันทึกข้อมูลธุรกรรมลงใน layer การรับประกันข้อมูล (Transaction data posted to the Data Availability layer)

  • ข้อมูลจากธุรกรรมที่ประมวลผลแล้วจะถูกส่งแบบต่อเนื่องไปยัง layer การรับประกันข้อมูล (Data Availability layers) เพื่อให้ผู้ตรวจสอบ (verifier) สามารถเข้าถึงข้อมูลและยื่นหลักฐานการฉ้อโกงได้ กรณีที่ธุรกรรมถูกบันทึกไปยังเลเยอร์การรับประกันข้อมูลแล้ว จะถือว่าเป็นการยืนยันอย่างแน่นอน (hard-confirmed)

4. บันทึกสถานะบน Ethereum (State settled to Ethereum)

  • เมื่อข้อมูลธุรกรรมสำหรับบล็อกหนึ่งๆ ถูกบันทึกไปยังเลเยอร์การรับประกันข้อมูลสำเร็จ บล็อกอัปเดตสถานะจะถูกส่งไปยัง Ethereum เพื่อสิ้นสุดกระบวนการบันทึกสถานะ

5. ผู้ตรวจสอบรับฟังและประมวลผลข้อมูลอีกครั้ง (Verifier listens and replays data)

  • ผู้ตรวจสอบจะติดตามข้อมูลธุรกรรมจากผู้รับรอง (validator) และเลเยอร์การรับประกันข้อมูล และนำข้อมูลไปประมวลผลอีกครั้งเพื่อจำลองสถานะที่อัปเดต

6. ผู้ตรวจสอบเปรียบเทียบบล็อกสถานะ (Verifier compares state blocks)

  • ผู้ตรวจสอบจะนำสถานะที่ตนเองจำลองไว้ไปเปรียบเทียบกับสถานะบนเครือข่ายหลัก (on-chain) เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกัน หากไม่ตรงกัน ผู้ตรวจสอบจะยื่นหลักฐานการฉ้อโกง

ทั้งหมดเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่พอจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้นไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับ Layer N นะครับ

--

--